page43

ขมิ้นชัน งานวิจัยและสรรพคุณ 44 ข้อ


ชื่อสมุนไพร ขมิ้นชัน

ชื่ออื่นๆ ขมิ้น, ขมิ้นแดง, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว, ขมิ้นแกง (เชียงใหม่), ขี้มิ้น (ภาคใต้), ตายอด (กะเหรี่ยงกำแพงเพชร), สะยอ (แม่ฮ่องสอน), หมิ้น (ตรัง)

ชื่อสามัญ Turmeric

ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa Linn.

วงศ์ ZINGIBERACEAE



ขมิ้นชัน


ถิ่นกำเนิดขมิ้นชัน

ขมิ้นชันมีถิ่นกําเนิดในประเทศแถบเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งธรรมชาติในสภาพพืชป่า มีข้อสันนิษฐานว่า ขมิ้นชันเป็นพืชปลูกที่เกิดกระบวนการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติและมีโครโมโซม 3 ชุด ซึ่งเป็นหมัน มีการสืบทอดพันธุ์กันต่อมา โดยวิธีการคัดเลือกพันธุ์และปลูกขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ปัจจุบันมีเขตการกระจายพันธุ์ปลูกทั่วไปในประเทศที่มีอากาศร้อน หรือร้อนชื้นทั่วโลก ได้แก่ กัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย ลาว มาดากาสกา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไทย รวมถึงบางประเทศในเขตร้อนชื้นของทวีปแอฟริกา แหล่งที่ปลูกขมิ้นชันเป็นการค้าขนาดใหญ่ของโลกคืออินเดีย มีแหล่ง อื่นบ้างแถบเอเซียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ได้แก่ ประเทศจีน อินเดียอินโดนีเซีย และไทย 



ประโยชน์และสรรพคุณขมิ้นชัน

ช่วยเจริญอาหาร

ยาบำรุงธาตุ

ช่วยฟอกเลือด

แก้ท้องอืดเฟ้อ แน่น จุกเสียด

ช่วยลดน้ำหนัก

แก้ปวดประจำเดือน

แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ

อาการดีซ่าน

แก้อาการวิงเวียน

แก้หวัด

แก้อาการชัก

ช่วยลดไข้

ขับปัสสาวะ

รักษาอาการท้องมาน

แก้ไข้ผอมแห้ง

แก้เสมหะ

แก้โลหิตเป็นพิษ

แก้โลหิตออกทางทวารหนักและเบา

แก้ตกเลือด

แก้อาการตาบวม

แก้ปวดฟันเหงือกบวม

มีฤทธิ์ระงับเชื้อ

ช่วยต้านวัณโรค

ป้องกันโรคหนองใน

แก้ท้องเสีย

แก้บิด

แก้หิว

รักษามะเร็งลาม

ช่วยลดอาการฟกช้ำบวม ปวดไหล่และแขน บวมช้ำและปวดบวม

แก้ปวดข้อ

ใช้สมานแผลสดและแผลถลอก

ใช้ผสมยานวดคลายเส้นแก้เคล็ดขัดยอก

แก้น้ำกัดเท้า

แก้ชันนะตุ

แก้กลากเกลื้อน

แก้โรคผิวหนังผื่นคัน

ใช้สมานแผล

รักษาฝี แผลพุพอง

ลดอาการแพ้ อักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย

ใช้ห้ามเลือด

รักษาผิว

ช่วยบำรุงผิว 

ช่วยลดหน้าท้องลายหลังคลอดบุตร

ช่วยลดกลิ่นปาก

 


ประเทศ

สรรพคุณทางยาขมิ้นชัน

อินเดีย


 


 


 


 


 


 


- ให้กลิ่นหอม เป็นยากระตุ้น และช่วยขับลม

- ผงขมิ้นผสมกับน้ำมะนาวใช้พอกเพื่อรักษาอาการ บาดเจ็บ เคล็ด ขัด

  ยอก บวม

- รักษาความผิดปกติของระบบน้ำดี

- รักษาอาการเบื่ออาหาร

- โรคหวัด

- แก้ไอ

- แผลจากโรคเบาหวาน

- ความผิดปกติของตับ

- โรคข้อรูมาติซึม (rheumatism)

- ไซนัสอักเสบ (sinusitis) 

จีน


 


- ปวดท้อง (abdominal pain)

- ท้องมาน (ascites)

- ดีซ่าน (icterus)

ไทย


 


 


 


 


- แก้ไข้เรื้อรัง

- รักษาอาการผอมเหลือง

- แก้โรคผิวหนัง

- แก้ท้องร่วง

- สมานแผล

- ขับลม

- รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการ อาหารไม่ย่อย

- รักษาแผลในกระเพาะอาหาร

 


รูปแบบและขนาดวิธีการใช้ขมิ้นชัน


แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด อาหารไม่ย่อย อาการแสบคัน แก้หิว และแก้กระหาย ทำโดยล้างขมิ้นชันให้สะอาด ไม่ต้องปอกเปลือกออก หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย กินครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3 -4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน แต่บางคนเมื่อกินยานี้แล้วแน่นจุกเสียดให้หยุดกินยานี้

ใช้ภายใน(ยารับประทาน):

• ยาแคปซูลที่มีผงเหง้าขมิ้นชันแห้ง 250 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 2-4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน อาจปั้นเป็นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง

• เหง้าแก่สดยาวประมาณ 2 นิ้ว ขูดเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดตำให้ละเอียด เติมน้ำ คั้นเอาแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง

ใช้ภายนอก:

• ใช้เหง้าขมิ้นแก่สดฝนกับน้ำสุก หรือผงขมิ้นชันทาบริเวณที่เป็นฝี แผลพุพอง หรือ อักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย

• เหง้าแก่แห้ง บดเป็นผงละเอียด ทาบริเวณที่เป็นเม็ดผื่นคัน

• เหง้าแห้งบดเป็นผง นำมาเคี่ยวกับน้ำมันพืช ทำน้ำมันใส่แผลสด

• เหง้าแก่ 1 หัวแม่มือ ล้างสะอาดบดละเอียด เติมสารส้มเล็กน้อย และน้ำมันมะพร้าวพอแฉะๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นแผลพุพอง ที่หนังศีรษะ

ขนาดที่ใช้ในการรักษาอาการ dyspepsia

รับประทานผงขมิ้นชันในขนาด 1.5 - 4 กรัมต่อวัน โดยแบ่งให้วันละ 3 - 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน หรือรับประทานขมิ้นชันในรูปแบบแคปซูลที่มีผงเหง้าขมิ้นชันอบแห้ง 250 มก. รับประทานครั้งละ 2 – 4แคปซูล วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน



ลักษณะทั่วไปขมิ้นชัน


ขมิ้นชันเป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี สูงประมาณ 30-95 ซม. ลําต้นใต้ดินเป็นเหง้า มีทั้งเหง้าหลักที่เจริญชูตั้ง รูปไข่ หรือรูปไข่แกมรี บางครั้งเรียกเหง้าหลักว่า “หัว” ด้านข้างของเหง้าหลักแตกแขนงในแนวระนาบ แต่ละแขนงมักแตกย่อยต่อไปได้อีก 1-2 ครั้ง เหง้าแขนงรูปคล้ายทรงกระบอก หรือ คล้ายนิ้วมือ ตรง หรือ โค้งเล็กน้อย บางครั้งเรียกเหง้าแขนงว่า “แง่ง” เนื้อเหง้าสีส้ม และมีกลิ่นเฉพาะ ลําต้นเหนือดิน เป็นลําต้นเทียมที่มีกาบใบเรียงซ้อนอัดแน่นสูงได้ถึง 1 เมตร หรือมากกว่า มีใบ 6–10 ใบต่อต้น ใบเดี่ยว ออกสลับถี่ กาบใบยาว 40–60 เซนติเมตร แผ่นใบรูปรีหรือรีแกมขอบขนาน กว้าง 10–20 เซนติเมตร ยาว 30–70 เซนติเมตร โคนใบสอบแคบ หรือ มน ปลายใบแหลมมาก ช่อดอกรูปทรงกระบอก กว้าง 5–9 เซนติเมตร ยาว 10 – 20 เซนติเมตร มีใบประดับจํานวนมาก รูปรีแกมขอบขนานเรียงเวียนถี่รอบแกนช่อดอก ใบประดับที่อยู่บริเวณโคนช่อดอกมีสีเขียวอ่อนหรือสีขาวแกมเขียวยาว 5–6 เซนติเมตร กว้าง 2 – 3 เซนติเมตร ขอบโคนใบประดับประกบติดกับใบประดับที่อยู่ใกล้เคียงและติดกับแกนช่อดอกเกิดเป็นซอกคล้ายกระเปาะ ใบประดับที่อยู่บริเวณปลายช่อดอกมีสีขาวแกมเขียวอ่อน ปลายใบประดับมีแถบสีเขียวอ่อนหรือแถบสีชมพูอ่อน โคนใบประดับไม้ประกบติดกันเป็นกระเปาะ ดอกออกในซอกกระเปาะใบประดับ 3 – 5 ดอกต่อซอก และทยอยบาน ดอกยาวประมาณ 5 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงสีขาวใส ติดกันเป็นหลอดสั้น ปลายหยักไม้เท่ากัน กลีบดอกสีขาว โคนติดกันเป็นหลอดยาว ปลายผาย และแยกเป็น 3 กลีบเกสรตัวผู้ที่เป็นหมันแผ่เป็นกลีบขนาดใหญ่ 3 กลีบ กลีบกลางรูปไข่กลับ สีเหลืองอ่อนและมีแถบสีเหลืองเข็ม บริเวณกลางกลีบ สองกลีบข้างรูปรีแกมขอบขนานสีเหลืองอ่อน เกสรตัวผู้ที่สมบูรณ์มีก้านสั้น อับเรณูเล็กเรียวและมีจะงอย โอบรอบก้านชูยอดเกสรตัวเมีย รังไข่ 3 ห้อง ผลกลมหรือรี แต่มักไม่ติดผล ขมิ้นชัน นั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอยู่หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น วิตามินเอ , วิตามินบี 1 , วิตามินบี 2, วิตามินบี 3, วิตามินซี, วิตามินอี, ธาตุแคลเซียม, ธาตุฟอสฟอรัส, ธาตุเหล็ก, เกลือแร่ต่างๆ รวมไปถึงเส้นใย, คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ในขณะเดียวกัน ขมิ้นชัน ก็มีสรรพคุณทางยาที่ช่วยรักษาอาการและบรรเทาโรคต่างๆ ได้หลากหลายชนิดจากการที่ได้ค้นพบประวัติในการนำมาใช้รักษามากกว่า 5,000 ปี

 


การขยายพันธุ์ขมิ้นชัน

ขมิ้นชัน


ขมิ้นชันชอบแสงแดดจัดและมีความชื้นสูง ชอบดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ไม่ชอบน้ำขัง วิธีปลูกใช้เหง้าหรือหัวอายุ10-12เดือนทำพันธุ์ ถ้าเป็นเหง้าควรยาวประมาณ8-12ซม.หรือมีตา6-7ตา ปลูกลงแปลง กลบดินหนาประมาณ5-10ซม. ขมิ้นจะใช้เวลาในการงอกประมาณ30-70วันหลังปลูก ควรรดน้ำทุกวัน หลังจากนั้นเมื่อขมิ้นมีอายุได้ 9-10 เดือนจึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้

• ฤดูกาลปลูก : ควรเริ่มปลูกในช่วงต้นฤดูฝนประมาณปลายเดือนเมษายน ถึงต้นเดือนพฤษภาคม

• ฤดูการเก็บเกี่ยว : จะเก็บเกี่ยวหัวขมิ้น ในช่วงฤดูหนาวหรือประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงมกราคม ซึ่งช่วงนี้หัวขมิ้นชันจะแห้งสนิท

 


องค์ประกอบทางเคมีของขมิ้นชัน

สารกลุ่มเคอร์คิวมินนอยด์ (curcuminoids) ประกอบด้วย เคอร์คูมิน (curcumin), monodesmethoxycurcumin, bisdesmethoxycurcumin

น้ำมันระเหยง่าย (volatile oil) มีสีเหลืองอ่อน สารหลักคือเทอร์เมอโรน (turmerone) 60%, ซิงจิเบอรีน (zingiberene) 25%, borneol, camphene, 1, 8 ciniole , sabinene, phellandrene

         องค์ประกอบทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาอาการ dyspepsia

การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันพบว่า เหง้าขมิ้นชัน ประกอบด้วยสารสําคัญ 2 กลุ่มคือ curcuminoids ซึ่งเป็นกลุ่มสารที่ให้สีเหลืองส้ม มีประมาณ 1.8–5.4% ประกอบด้วย curcumin และสารอนุพันธ์ของ curcumin ได้แก่ demethoxy curcumin และ bisdesmethoxycurcumin และสารสําคัญอีกกลุ่มหนึ่งคือน้ำมันหอมระเหย (volatile oils) สีเหลืองอ่อน ที่มีอยู่ประมาณ 2 – 6% ประกอบด้วยสารประกอบmonoterpenes และ sesquiterpenes เช่น turmerone, zingeberene, curcumene, borneol เป็นต้น


รูปภาพองค์ประกอบทางเคมีของขมิ้นชัน


 


โครงสร้างขมิ้นชัน


Bisdemethoxycur cumin


โครงสร้างขมิ้นชัน


curumene


ขมิ้นชัน


Curcumin Enolform


ขมิ้นชัน


Curcumin Ketoform




Demethoxycurcu min




turmerone




Zingiberene


   


ขมิ้นชัน



ฤทธิ์ทางเภสัชของขมิ้นชัน

           • มีการวิจัยฤทธิ์ของขมิ้นชันต่อการต้านไวรัส พบสารเคอร์คูมิน และเคอร์คูมินโบรอนคอมเพล็กซ์คลอไรด์ สามารถยับยั้งเอนไซม์เอช ไอ วี โปรทีเอส 1 และ 2 (HIV-1 protease,HIV-2 protease) และพบสารเคอร์คูมินอยด์สามารถยับยั้งเอนไซม์เอช ไอ วี อินทิเกรส 1 (HIV-1 integrase) เอนไซน์โทโพไอโซเมอเรส 1 และ 2 (topoisomerase I,II)


           • มีการวิจัยฤทธิ์ของขมิ้นชันกับหนูที่เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ด้วยการให้หนูกินน้ำมันขมิ้นชัน 25% และ 5% พบว่า ขมิ้นชันสามารถยังยั้งการเกิดของเซลล์มะเร็งได้ ด้วยการลดจำนวนเซลล์ และขนาดของเซลล์มะเร็ง


           • ฤทธิ์ลดการเกิดแก๊สในทางเดินอาหาร Bhavanishankar และคณะ21 ทําการศึกษาในหลอดทดลอง (in vitro) ถึงฤทธิ์ของ curcumin และสารสกัดแอลกอฮอล์จากเหง้าขมิ้นชัน พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการเกิดแก่สโดยไม่มีผลยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียEscherichia coli อย่างมีนัยสําคัญ ในขณะที่ผงขมิ้นชันและส่วนที่เป็นน้ำมันของขมิ้นชันไม่มีผลยับยั้งการเกิดแก๊ส โดย curcumin และสารสกัด แอลกอฮอล์เข้าจับกับ iron ทําให้เกิดการยับยั้งการสร้างเอนไซม์ formichydrogenlyase เป็นผลให้ลดการสร้างแก๊ส ลดการนํากลูโคสไปใช้ของ E. coli และทําให้เกิดความเป็นกรดมากขึ้น

         รายงานการศึกษาวิจัยของ Bhavani และคณะ 9 เกี่ยวกับผลของ curcumin ต่อการเกิดแก๊สในทางเดินอาหาร ทําการศึกษาเป็น 2 ส่วน คือ ในหลอดทดลอง (in vitro) และในหนูขาว (rat) โดยในหลอดทดลอง เมื่อใส่ curcumin ปริมาณ 0.005% ถึง 0.035% ลงในอาหารที่มีเชื้อ Clostridium perfringens พบว่ามีการสร้างแก๊สลดลง และเมื่อใส่ curcumin ในปริมาณ 0.05% พบว่าไม่มีการ สร้างแก๊สขึ้นเลย โดยผลที่เกิดขึ้นนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับฤทธิ์การเป็น antibacterial ของ curcumin เนื่องจากพบว่า curcumin ในปริมาณ 0.035% ไม่มีผลลดการนํากลูโคสไปใช้ของเชื้อ Clostridium perfringens

ส่วนการศึกษาในหนูขาว (rat) เมื่อให้อาหารที่ทําให้เกิดแก๊ส (chickpea flour diet) เกิดการสร้างแก๊สขึ้น 3.45 มล. เทียบกับกลุ่มควบคุมที่ให้อาหารปกติ เกิดการสร้างแก๊สขึ้น 1.36 มล. เมื่อให้ curcumin ร่วมกับchickpea flour diet พบว่าการสร้างแก๊สลดลงจนถึงระดับปกติเมื่อให้ curcumin ในปริมาณ 0.1%


           • รักษาอาการข้อเข่าอักเสบ เมื่อใช้สารสกัดวันละ 2 กรัม นาน 6 สัปดาห์ ในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมอักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุ สามารถลดความเจ็บปวดเมื่อเดินบนพื้นราบ และเมื่อขึ้นลงบันได โดยมีประสิทธิผล และความปลอดภัยเท่ากับยาไอบิวโพรเฟน


           • ฤทธิ์ต้านการอักเสบ Arora และคณะ26 ได้ทําการศึกษาสารจากเหง้าขมิ้นชันที่สกัดด้วย petroleum ether และแยกได้สารออกมา 2 ส่วน โดยสารส่วนแรกมีลักษณะเป็นน้ำมันสีแดงเข็มที่มีความหนืดสูง และสารอีกส่วนหนึ่งเป็นผลึกของแข็งสีขาว นําสารดังกล่าวไปทดสอบฤทธิ์การต้านการอักเสบในหนูขาว (rat) ที่ทําให้หนูขาวได้เท่ากับ 12.2 กรัม/กิโลกรัม การศึกษาพิษวิทยากึ่งเฉียบพลัน (subacute toxicity) โดยใช้สารสกัดในขนาด 1 และ 2 กรัม/กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ไม่พบการเกิดพิษอย่างมีนัยสําคัญ 


           Ghatak และคณะ27 ศึกษาเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านการอักเสบระหว่าง curcumin กับสารอนุพันธ์ของcurcumin ที่ละลายน้ำได้ ได้แก่ sodium curcuminate และ potassium curcuminate โดยใช้ hydrocortisoneacetate เป็นสารมาตรฐานในการเปรียบเทียบ ทําการทดลองในหนูขาว (rat) ด้วยวิธี carrageenin-induced ratpaw edema และวิธี formalin-induced arthritis ผลการศึกษาพบว่า sodium curcuminate มีฤทธิ์ต้านการอักเสบดีกว่า curcumin และ hydrocortisone acetate โดยวิธี carrageenin-induced rat paw edema ค่าED50 ของ curcumin และ sodium curcuminate มีค่าเท่ากับ 2.10 มก./กก. และ 360 มคก./กก. ตามลําดับและวิธี formalin-induced arthritis ค่า ED50 ของ sodium curcuminate มีค่าเท่ากับ 144 มคก./กก.


           • ฤทธิ์ขับน้ำดี Ramprasad และคณะ37 ทําการศึกษาฤทธิ์ของ curcumin และน้ำมันหอมระเหย ของขมิ้นชันต่อการขับน้ำดี โดยทําการทดลองในสุนัขที่ถูกทําให้สลบ พบว่าการให้ sodium curcuminate ทางหลอดเลือดดําในขนาด 25 มก./กก. มีฤทธิ์กระตุ้นการขับน้ำดีเพิ่มขึ้นเกือบ 100% โดยไม่มีผลกระทบต่อความดันโลหิตและการหายใจของสัตว์ทดลอง ส่วนน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์กระตุ้นการขับน้ำดีน้อยกว่า

Ramprasad และคณะ38 ทําการศึกษาฤทธิ์ของ sodium curcuminate ต่อการเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบของน้ำดี โดยทําการทดลองในสุนัขที่ถูกทําให้สลบ พบว่าเมื่อฉีด sodium curcuminate เข้าหลอดเลือดดําในขนาด 5, 10, 25 มก./กก. พบว่ามีผลเพิ่มปริมาณน้ำดี แต่ลดปริมาณส่วนประกอบที่เป็นของแข็ง และยังพบว่ามีการขับ bile salt, bilirubin และ cholesterol เพิ่มขึ้น แต่ไม่พบการเปลี่ยนแปลงของกรดไขมัน

Deters และคณะ39 ทําการศึกษาฤทธิ์ของ curcumin ในการป้องกัน cyclosporin ที่มีผลลดการหลั่งbilirubin และ biliary cholesterol และอิทธิพลของ cyclosporin และสาร metabolites ต่อการขับน้ำดี ทําการทดลองในหนูขาว (rat) โดยให้ curcumin ทางหลอดเลือดดําในขนาด 25 และ 50 มก./กก. หลังจากเพิ่มขนาดcurcumin ในอัตราเร็ว 30 มคล./กก./นาที เป็นเวลา 30 นาที พบว่ามีการขับน้ำดี bilirubin และ biliarycholesterol เพิ่มขึ้น 200, 150 และ 113% ตามลําดับ

การให้ cyclosporin ทางหลอดเลือดดํา 30 มก./กก. เป็นเวลา 30 นาที มีผลลดการขับน้ำดี bilirubinและ biliary cholesterol ลงจากระดับปกติ 66, 33 และ 33% ตามลําดับ หลังจากนั้น 30 นาที ให้ curcuminทางหลอดเลือดดําในขนาด 25 และ 50 มก./กก. พบว่ามีการขับน้ำดีเพิ่มขึ้น 130% ในเวลา 1 ชั่วโมง มีการขับbilirubin และ biliary cholesterol เพิ่มขึ้น 100% ภายในเวลา 30 และ 150 นาที ตามลําดับ


           • ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Banerjee และคณะ46 ทําการศึกษาคุณสมบัติในการต้านจุลชีพของน้ำมันหอมระเหยจากขมิ้นชันในหลอดทดลอง (in vitro) กับเชื้อในกลุ่ม saprophytic, กลุ่มเชื้อก่อโรคในพืช กลุ่มเชื้อก่อโรคในมนุษย์ทั้งแบคทีเรียและเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อแบคทีเรียแกรมลบและเชื้อราก่อโรคได้ดี Shankar และคณะ47 ทําการศึกษาผลของขมิ้นชันต่ออัตราการเติบโตและการสร้างกรดของเชื้อแบคทีเรียในลําไส้บางชนิด พบว่าขมิ้นชันมีผลยับยั้งการเติบโตและการสร้างกรดของเชื้อ Lactobacilli ในขณะที่กระตุ้นการเติบโตและการสร้างกรดของเชื้อ Streptococci และ E. coli เล็กน้อย โดย minimum effectiveconcentration ของขมิ้นชันมีค่า 0.5%

Shankar และคณะ48 ทําการศึกษาผลของสารสกัดส่วนต่างๆ จากเหง้าขมิ้นชันต่ออัตราการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในลําไส้เล็ก แบคทีเรียก่อโรค และแบคทีเรียที่สร้างสารพิษ โดยพบว่าสารสกัดส่วนที่เป็นน้ำมัน(turmeric oil) ของขมิ้นชันมีผลยับยั้งการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวได้ ส่วนสาร curcumin ไม่แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเติบโตของเชื้อ Staphylococcus aureus และ Bacillus aureus สารสกัดในส่วนแอลกอฮอล์ และสารสกัดส่วนที่เป็นน้ำมันมีผลเหนี่ยวนําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเชื้อ Streptococci, Lactobacilli และStaphylococci

           อัญชลี อินทนนท์ และคณะ51 ได้ทําการทดลองใช้ขมิ้นชันรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้อง ซึ่งเชื่อว่าเป็นอาการของโรคแผลเป่ปติค (peptic ulcer) โดยเปรียบเทียบกับการใช้ไตรซิลิเกต (trisilicate) ซึ่งเป็นยาลดกรดขององค์การเภสัชกรรม ได้ผลดังนี้ คือ อาการดีขึ้นมากหลังรักษาด้วยขมิ้นชันครบ 12 สัปดาห์ จํานวน 15 รายคิดเป็น 88 % หายปกติ 1 ราย คิดเป็น 5.8% อาการดีขึ้นมากหลังรักษาด้วยไตรซิลิเกต 5 ราย คิดเป็น 50% หายปกติ 4 ราย คิดเป็น 40%

ฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์ และคณะ52 ทําการศึกษาผลของขมิ้นชันแคปซูลในการรักษาโรคแผลเปื่อยด้วยวิธีการส่องกล้องในผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหาร และลําไส้เล็กดูโอดีนัมที่มีอาการปวดท้อง โดยให้ขมิ้นชันในรูปแคปซูลขนาด 250 มก. รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงและก่อนนอน ทําการส่องกล้องตรวจตั้งแต่เริ่มการรักษาและเมื่อครบ 4, 8 และ 12 สัปดาห์หลังการรักษา มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาจนสิ้นสุดการศึกษา ทั้งสิ้น 10 ราย เป็นชาย 8 ราย และหญิง 2 ราย มีอายุระหว่าง 16 -60 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (8 ราย) มีแผลเปื่อยในลําไส้เล็กดูโอดีนัม และอีก 2 รายเป็นแผลเปื่อยในกระเพาะอาหารขนาดแผลที่พบมีเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 0.5-1.5 ซม. จากผู้ป่วยทั้งสิ้น 10 ราย มีการหายของแผลเป็นปกติภายใน 4 สัปดาห์ 5 ราย (50%) หรือหายเป็นปกติภายใน 4 ถึง สัปดาห์ 7 ราย (70%)